ดอกและสีดอก : ความน่าสนใจของบานเย็นคือ เป็นไม้ดอกที่สามารถมีดอกหลายสีอยู่บนต้นเดียวกันพร้อมๆ
กันได้ นอกจากนี้ในแต่ละดอกอาจมีหลายสีปนกันอยู่ได้เช่นกัน จุดสนใจอีกประการหนึ่งคือการที่สีดอกจะเปลี่ยนไปเมื่อต้นบานเย็นมีอายุมาก
ขึ้น เช่น บานเย็นพันธุ์ดอกเหลือง สีของดอกอาจค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชมพูเข้ม หรือ
พันธุ์ดอกขาวอาจจะเปลี่ยนเป็นม่วงอ่อนได้ ดอกบานเย็นจะบานในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ
เป็นต้นไป จึงเป็นที่มาของชื่อไทยว่า "บานเย็น"
หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า "ดอกสี่โมง" (four o'clock flower) เมื่อดอกบานจะมีกลิ่นหอมจัดแบบกลิ่นหอมหวานๆในประเทศจีน เรียกบานเย็นว่า
"ดอกสายฝน" (shower flower) หรือ
"ดอกหุงข้าว" (rice boiling flower) เพราะดอกบานเย็นจะบานในช่วงเวลานั้น
ส่วนในฮ่องกง เรียกว่า "มะลิม่วง" (purple jasmine)
ส่วนของกลีบดอกที่เห็นเป็นสีต่างๆ นั้น
แท้จริงแล้วไม่ใช่กลีบดอกแท้ แต่เป็นส่วนกลีบเลี้ยง (calyx) ที่เปลี่ยนรูปไปจากปกติและมีเม็ดสี
(pigments) การผสมเกสรเกิดโดยแมลงกลางคืนชนิดที่มีลิ้นยาวซึ่งถูกดึงดูดมาหาดอกบานเย็น
โดยกลิ่นหอมที่ปล่อยออกมานั่นเอง
ถิ่นอาศัยและการเพาะปลูก : บานเย็นถูกนำออกมาจากเขตมรสุมของทวีปอเมริกาใต้
แล้วนำไปปลูกอย่างแพร่หลายในเขตอบอุ่นและเขตร้อนอื่นๆ จนกลายเป็นพืชประจำถิ่น
ในพื้นที่เขตอบอุ่นที่ค่อนข้างเย็น ต้นบานเย็นจะตายเมื่ออากาศเย็นจนเริ่มมีน้ำแข็ง
แต่จะงอกกลับขึ้นใหม่ในฤดูใบไม้ผลิถัดไปจากเหง้าที่ฝังอยู่ใต้ดิน ต้นบานเย็นโตได้ดีที่สุดในแสงแดดจัด
ความสูงต้นเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 90 ซม. ผลมีเมล็ดเดี่ยว เมล็ดมีลักษณะกลม ผิวเปลือกเมล็ดเปลี่ยนสีจากเหลืองปนเขียวเป็นสีดำและย่นเมื่อเมล็ดแก่จัด
การกระจายเมล็ดเกิดได้เองและอาจแพร่กระจายได้เร็วมากจนกลายเป็นวัชพืชถ้าขาด การควบคุมดูแลที่ดี
ผู้ปลูกบางรายแนะนำว่าก่อนปลูกควรแช่เมล็ดก่อน แต่พบว่าไม่จำเป็น
การศึกษาด้านพันธุกรรม : ในช่วงปี ค.ศ.1900 คาร์ล คอร์เรนส (Carl Correns) ใช้ต้นบานเย็นเป็นพืชต้นแบบสำหรับการศึกษาวิจัยเรื่องการถ่ายทอดพันธุกรรม ทางไซโตพลาสซึม
(cytoplasmic inheritance) โดยใช้ต้นบานเย็นพันธุ์ที่มีใบลายในการพิสูจน์ว่า
มีปัจจัยบางอย่างที่อยู่นอกนิวเคลียสเป็นตัวกำหนดลักษณะทางกายภาพของต้นบาน เย็น
ด้วยกลไกที่ไม่สามารถอธิบายได้โดยทฤษฎีของเมนเดล คอร์เรนสเสนอความคิดว่าลักษณะสีของใบบานเย็นถ่ายทอดสู่รุ่นลูกจากบรรพบุรุษ
ฝ่ายเดียว (uniparental mode of inheritance) เมื่อทำการผสมเกสรระหว่างต้นดอกสีแดงกับต้นดอกสีขาว
จะได้รุ่นลูกที่มีดอกสีชมพู ไม่ใช่สีแดง ซึ่งเป็นลักษณะที่อยู่นอกเหนือกฎยีนเด่นข่มยีนด้อยของเมนเดล
(Mendel's Law of Dominance) เพราะในกรณีนี้ยีนที่ให้ดอกสีแดงกับยีนให้ดอกสีขาวมีการแสดงออกเท่ากัน จึงไม่มีลักษณะของยีนใดยีนหนึ่งแสดงออกอย่างเด่นชัดเพียงลักษณะเดียว
การใช้ประโยชน์
- ดอกบานเย็น ใช้ทำสีผสมอาหารสีแดงเข้ม ซึ่งมักใช้แต่งสีเค้กและเจลลี่
- ใบ กินสุกได้ แต่ควรกินเมื่อจำเป็นเท่านั้น
- ส่วนต่างๆ ของต้นบานเย็นนำไปใช้ในยาขับปัสสาวะ
ยาระบาย และรักษาแผล ส่วนรากเชื่อว่ามีสรรพคุณเพิ่มสมรรถนะทางเพศ และออกฤทธิ์ขับปัสสาวะและระบายท้อง
รวมถึงมีการใช้เพื่อรักษาอาการบวมน้ำ
- ใบ ใช้ลดอาการอักเสบ
น้ำคั้นใบตำละเอียดและต้มแล้วใช้รักษาฝีหนอง
- เมล็ดของบานเย็นบางพันธุ์ เมื่อบดละเอียดเป็นผงใช้ผสมในเครื่องสำอางและสีย้อม แต่เมล็ดบานเย็นส่วนใหญ่ถือว่ามีพิษ
ข้อมูล :
- Correns, C. Vererbungsversuche mit blass
(gelb) grünen und buntblättrigen Sippen bei Mirabilis, Urtica und Lunaria.
ZIAV 1, 291–329 (1909)
- Pierce, B. Genetics: A Conceptual Approach, 2nd ed. (New York, Freeman, 2005)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น